ซุลกิอฺดะฮฺ หรือ ซุลเกาะอฺดะฮฺ (อาหรับ: ذو القعدة) คือเดือนที่ 11 ของของปฏิทินฮิจญ์เราะฮ์หรือปฏิทินอิสลาม เป็นเดือนที่มุสลิมเริ่มเตรียมตัวเพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์
เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม
เดือนซุ้ลเกาะอฺดะห์ ปีที่ 6 แห่งฮิจเราะห์ศักราช (ปลายปี)
เกิดสงครามอัลฮุดัยบียะห์ (เป็นหุบเขาแห่งหนึ่งใกล้กับนครมักกะห์) ในสงครามครั้งนี้ท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงออกจากนครม่าดีนะห์ พร้อมด้วยผู้คนจำนวนพันกว่าคนเพื่อทำอุมเราะห์ ณ นครมักกะห์ ครั้นเมื่อพวกตั้งภาคีที่นครมักกะห์ทราบเรื่องก็ได้ระดมผู้คนจากเผ่าต่าง ๆ และพากันยกขบวนไพร่พลออกมาตั้งรับนอกนครมักกะห์เพื่อขัดขวางการประกอบพิธีอุมเราะห์ของท่านศาสดา (ซ.ล.) และเหล่าอิสลามิกชนในปีนี้
พวกตั้งภาคีได้มอบให้คอลิด อิบนุ อัลวะลีด (ขณะนั้นยังไม่ได้รับอิสลาม) ขี่ม้าศึกนำขบวนไพร่พลของพวกเขาไปยังด้านต.อัลฆ่อมีน และท่านศาสดา (ซ.ล.) ก็ได้ทรงสวนทางกับคอลิด และมาสุดที่อัลฮุดัยบียะห์ พระองค์และพวกตั้งภาคีก็มีการส่งคนมาเจรจากันระหว่างสองฝ่าย จนกระทั่งเมื่อสุฮัยล์ อิบนุ อัมรุ ได้มาถึงที่นั่น ท่านศาสดา (ซ.ล.) ก็ได้ทรงทำสนธิสัญญาประนีประนอมโดยมีข้อสัญญาตกลงกันดังนี้
1.ให้ท่านศาสดา (ซ.ล.) ถอยกลับไปจากนครมักกะห์ในปีนี้เสียก่อนและให้กลับมาทำอุมเราะห์ใหม่ในปีหน้า โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เข้าสู่นครมักกะห์นอกเสียจากพำนักอยู่ในนครมักกะห์ได้ไม่เกิน 3 วัน
2.รับรองความปลอดภัยระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายเป็นระยะเวลา 10 ปี
3.บุคคลใดมีความประสงค์เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายท่านศาสดา (ซ.ล.) ก็ย่อมกระทำได้บุคคลใดมีความประสงค์เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายกุเรซมักกะห์ก็ย่อมกระทำได้
4.ชาวมักกะห์คนใดที่หนีเข้ามากับฝ่ายท่านศาสดา (ซ.ล.) จะถูกส่งมอบตัวคืนแก่ฝ่ายกุเรซ ถึงแม้ว่าผู้นั้นจะเป็นมุสลิมก็ตาม
พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงรับรองมาตราต่าง ๆ ที่มีระบุอยู่ในสนธิสัญญาอัลฮุดัยบียะห์ นอกจากประเด็นของสตรีผู้ศรัทธาที่ได้ฮิจเราะห์ (อพยพ) มาสู่นครม่าดีนะห์ พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงบัญญัติห้ามบรรดามุสลิมในการส่งมอบตัวสตรีเหล่านั้นแก่พวกกุเรซมักกะห์ และทรงบัญญัติห้ามการสมรสนางเหล่านั้นกับพวกปฏิเสธ (กุฟฟาร) นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ก่อนการทำข้อตกลงในสนธิสัญญาอัลฮุดัยบียะห์ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงส่งท่านอุสมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) ไปยังพวกกุเรซมักกะห์เพื่อแจ้งว่าท่านศาสดาไม่ได้ประสงค์ที่จะทำสงคราม แต่พระองค์มาสู่นครมักกะห์เพื่อประกอบพิธีอุมเราะห์เท่านั้น ท่านอุสมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) ยังไม่กลับมาจากการปฏิบัติภารกิจก็มีข่าวลือออกมารู้ถึงท่านศาสดา (ซ.ล.) ว่าท่านอุสมานถูกสังหารท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงมีความโกรธต่อเหตุการณ์ (อันมาจากข่าวลือ) ในครั้งนั้น
พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าอัครสาวกของพระองค์ให้มาร่วมสัตยาบันในการทำสงครามกับพวกกุเรซ เหล่าอัครสาวกจึงได้ร่วมกันในสัตยาบันต่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ภายใต้ต้นไม้ซึ่งเรียกกันว่า สัตยาบันอัรริฎวาน พระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงพระราชทานโองการอัลกุรอ่านลงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกด้วย
ครั้นเมื่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้เสร็จสิ้นจากการทำสนธิสัญญาประนีประนอมกับพวกตั้งภาคีแห่งนครมักกะห์แล้วพระองค์ก็ได้ทรงเริ่มสละการครองพิธีอุมเราะห์ของพระองค์และยังได้ทรงใช้บรรดาผู้คนทั้งหลายให้กระทำสิ่งดังกล่าวอีกด้วย
เดือนซุ้ลเกาะอฺดะห์ ปีที่ 6 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ได้มีการทำอุมเราะห์ชดใช้ (กอฎอ) ซึ่งท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงทำข้อตกลงกับพวกกุเรซในสนธิสัญญาอัลฮุดัยบียะห์และในเดือนซุ้ลเกาะอฺดะห์ในปีนี้ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทรงออกเดินทางจากนครม่าดีนะห์ในสภาพของผู้ครองพิธีอุมเราะห์ท่านเดินทางรอนแรมจนกระทั่งถึงนครมักกะห์และพระองค์ (พร้อมด้วยผู้คนที่ร่วมมาด้วย) ได้ทำพิธีอุมเราะห์ ทำการเวียนรอบ (ตอว๊าฟ) บัยตุ้ลลอฮฺ เดินสะอ์ยฺและปลดหรือสละการครองอุมเราะห์ของพระองค์ (ตะฮั้ลลุ้ล) และหลังจากที่พระองค์ทรงสละการครองอุมเราะห์แล้วพระองค์ได้ทรงทำการสมรสกับพระนาง มัยมูนะห์บุตรีท่านอัลฮารีซ มารดาแห่งศรัทธาชน (ร.ฎ.)